Computer Forensics เครื่องมือตรวจสอบทุจริตในองค์กร
ทุจริตในองค์กรในยุคปัจจุบันส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ตในการค้นหาข้อมูลหรือทำงาน แต่โดยทั่วไปความผิดส่วนใหญ่ที่พบในองค์กรบ่อยๆ เช่น การก๊อบปี้ข้อมูลบริษัทออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาติ เพือไปต่อรองงานใหม่ เปิดบริษัทบริษัท หรืออาจใช้เป็นเครื่องมือในการทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย โดยพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ ระดับสูงที่สามารถเข้าถึงข้อมูลลับของบริษัทผ่านทางคอมพิวเตอร์ได้ ซึ่งหลักฐานดิจิทัลเหล่านี้สามารถที่จะซ่อน ลักลอบ ลบทิ้ง เคลื่อนย้าย หรือทำสำนาไว้ได้ ประกอบกับระบบอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นระบบเปิดขนาดใหญ่ ผู้กระทำผิดจึงสามารถปกปิดการกระทำได้อย่างง่ายดาย โดยที่การตรวจสอบนั้นกลับทำได้ยาก
มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าบุคคลที่มีลักษณะและบุคลิกภาพดังต่อไปนี้มีแนวโน้มมากกว่าคนธรรมดาทั่วไปที่จะกระทำการทุจริต ดังต่อไปนี้ ;
• มีตำแหน่งใหญ่ในบริษัทและอนุญาติให้เข้าถึงข้อมูลลับของบริษัท ซึ่งมีโอกาสสูงในการใช้ประโยชน์ของข้อมูลดังกล่าวในการก่อการทุจริต เช่น Database ของลูกค้าเพื่อนำไปเปิดบริษัทใหม่
• ฉลาดและมีความคิดสร้างสรรค์ ผู้ที่มีแนวโน้มจะก่อการทุจริตในองค์กร ส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่ฉลาด มีความสามารถในการปกปิดข้อมูลบางอย่างหรือซ่อนเร้น เพื่อไม่ให้บุคคลอื่นๆ มองเห็นหรือเข้าถึง เช่น เจ้าหน้าที่ IT ระดับสูง Engineer เป็นต้น บุคคลเหล่านี้รู้จุดอ่อนของการควบคุมภายในองค์กรและจะใช้ตำแหน่งหน้าที่หาผลประโยชน์เข้าตัวเอง
• มีบุคลิกเป็นตัวของตัวเองสูง และเชื่อมั่นในตนเอง คนเหล่านี้จะไม่ถูกตรวจพบ โดยรวมลักษณะทั่วไปจะถูกผลักดันให้ประสบความสำเร็จในงานที่ได้รับมอบหมายและดูแลในส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดด้วยตนเองและมักจะหลงตัวเองเสมอ
• การออกคำสั่ง บุคคลเหล่านี้มีความสามารถในการบังคับ ขู่เข็ญให้คนอื่น ๆ ที่จะกระทำความผิด หรือปกปิดการทุจริต เป็นลักษณะ ที่พบได้ทั่วไปในกลุ่มของผู้ที่คิดจะทำการทุจริตในองค์กร
• หลอกลวง ฉ้อโกง ส่วนใหญ่ผู้ที่ทำการทุจริตในองค์กรที่ประสบความสำเร็จ ต้องมี บุคลิกภาพ มีความน่าเชื่อถือ กลโกงแนบเนียนฉ้อฉล ผู้ตรวจสอบไม่สามารถติดตามบุคคลเหล่านี้ได้
• ความเครียด บุคคลเหล่านี้สามารถควบคุมความเครียด หรือกิริยาต่างๆของพวกเขาเพื่อไม่ให้เป็นผู้ต้องสงสัย เช่นการกระทำที่เกี่ยวกับการทุจริต และพยายามปกปิดไม่ให้มองเห็นซึ่งคนเหล่านี้ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จในการความคุมความเครียดหรืออารมณ์ต่างๆ โดนจะไม่แสดงออกด้านอารมณ์ให้เป็นที่สงสัย
ในปัจจุบันตัวเลขของการกระทำผิดกฎหมายโดยใช้เครื่องมือที่เป็นคอมพิวเตอร์เพิ่มสูง จนทำให้หน่วยงานรักษากฎหมายทั่วโลกจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับหลักฐานที่เป็นดิจิทัลมากขึ้น ในประเทศไทยเองด้วยเช่นกัน โดยการนำเทคนิคการสืบค้นหาหลักฐานขั้นสูงที่เรียกว่า Digital Forensic มาใช้ในการตรวจสอบ ค้นหา สืบค้น ซึ่งเป็นกระบวนการเก็บหลักฐานสามารถทำได้ง่าย รวมทั้งทำให้หลักฐานมีความถูกต้องมากขึ้นจนสามารถนำไปใช้เป็นข้ออ้างอิงในชั้นศาลได้ เทคนิคนี้เป็นที่นิยมแพร่หลายทั้งในยุโรปและอเมริกา
หากสงสัยว่าเกิดการทุจริตผ่านอุปกรณ์ดิจิทัลหรือคอมพิวเตอร์ในองค์กรควรให้หยุดใช้งานคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นทันที เจ้าหน้าที่ IT ไม่ควรจับต้อง หรือกู้ข้อมูลที่ลบ หรือ Format ไปด้วยตัวเอง เนื่องจากอาจทำให้พยานหลักฐานสูญหายระหว่างการกู้ ควรติดต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อปรึกษาขั้นตอนการตรวจสอบที่ถูกต้อง เพื่อให้หลักฐานคงอยู่มากที่สุด
อนึ่ง การตรวจสอบนั้นจะต้องตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เท่านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่คอมพิวเตอร์ทั่วๆไปที่ขาดประสบการณ์ความรู้และความชำนาญในการเก็บกู้วิเคราะห์หลักฐานจากอุปกรณ์ดิจิทัลหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้นอาจจะทําให้พยานหลักฐานเกิดการเปลี่ยนแปลงได้และสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือการรักษาความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานจากอุปกรณ์ดิจิทัล เพราะ หากไม่สามารถทำให้เกิดความน่าเชื่อถือได้ศาลก็ไม่สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดีได้