การตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานดิจิทัลหรือคอมพิวเตอร์
การตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานดิจิทัลหรือคอมพิวเตอร์ – เมื่อได้ยินคำว่า “Computer Forensics” หลายคนจะนึกถึงซีรีย์เรื่อง “DSI” และการสืบสวนอาชญากรรมของตำรวจ ในปัจจุบันคำว่า Digital Forensics คือ น่าจะมีการพูดถึงกันมากขึ้นในแง่ของการเป็นเครื่องมือในการสืบสวนการกระทำผิดของพนักงานในองค์กร, การสืบสวนด้านทรัพย์สินทางปัญญา, การสืบสวนผู้บุกรุกเครือข่ายคอมพิวเตอร์(Cyber Crime) และการฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาท เป็นต้น
การพิสูจน์หลักฐานทางคอมพิวเตอร์ ในประเทศไทยยังคงเป็นเรื่องใหม่แต่มันกำลังจะเปลี่ยนไป เพียงแค่คุณค้นหาคำเหล่านี้ทางอินเตอร์เน็ตจะพบบริษัทที่โฆษณาการให้บริการด้าน Digital Forensics, คอร์สฝึกอบรม, และเว็บบล็อกที่ให้ความรู้จากทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ แต่จะมีใครทราบความหมายที่แท้จริงของคำว่า Digital หรือ Computer Forensics
ดังนั้นเราสามารถทำความเข้าใจง่ายๆว่า มัน คือการรวบรวมข้อมูลหลักฐาน การพิสูจน์หลักฐานทางคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานได้ และในทาง Computer Forensics หลักฐานที่ได้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด โดยจะต้องมีการบันทึกกระบวนการได้มาของหลักฐานอย่างเที่ยงตรง(Chain of Custody)
การพิสูจน์หลักฐานทางคอมพิวเตอร์ ไม่เพียงแต่เป็นการสืบสวนข้อมูลทางอีเล็กทรอนิกส์ แต่ยังเป็นการระบุข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนค้นหาหลักฐานเพื่อนำเสนอประกอบการดำเนินคดี ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่คนทั่วไปจะต้องทำความเข้าใจว่า Computer Forensics ไม่ได้หมายถึงเฉพาะข้อมูลในคอมพิวเตอร์ แต่ยังรวมไปถึงอุปกรณ์ที่สามารถจัดเก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิคส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูป อุปกรณ์รับสัญญาณดาวเทียม (GPS) อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล USB เครื่องเล่นเกม หรือแม้แต่เตาอบไฟฟ้า ซึ่งหลายคนอาจคาดไม่ถึง
เพื่อพิจารณาการสื่อสารข้อมูลในปัจจุบันจะพบว่าจะเป็นการสื่อสารข้อมูลในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิคส์ จึงเห็นได้ว่า ทำไมการทำ Computer Forensics จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญต่อธุรกิจในปัจจุบัน ไฮไลท์จากการสำรวจ Global Economic Crime Survey 2011 พบว่า อาชญากรรมไซเบอร์เป็นหนึ่งในอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่มีความสำคัญและมีการรายงานว่า 1ใน 10ของการทุจริตที่เกิดขึ้นในองค์กรซึ่งมีความสูญเสียกว่า 5 ล้าน ดอลล่าสหรัฐ ซึ่งความเสียหายทางชื่อเสียงคือสิ่งที่ผู้คนหวั่นกลัวที่สุดคิดเป็น 40 % ของผู้ตอบแบบสอบถาม และมากกว่า 56% ตอบว่าการทุจริตที่ร้ายแรงที่สุดคือ “ภายในองค์กร”
การสำรวจยังแสดงให้เห็นว่า 60 % ของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอบว่าองค์กรไม่ใด้มีกฎข้อห้ามในการเล่น Social Media สุดท้าย 34% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีประสบการณ์อาชญากรรมทางเศรษฐกิจในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนจากปี 2009 กว่า 30% นอกจากนี้ 2 ใน 5 ของผู้ตอบแบบสอบ กล่าวว่า ไม่เคยได้รับการอบรมใดๆเกี่ยวกับ ความปลอดภัยด้านอาชญากรรมไซเบอร์
เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจ เมื่อคุณพิจารณาว่าโลกของเราก้าวไปอย่างรวดเร็ว องค์กรต่างๆต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้นและการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีที่สูงมากขึ้นตามไปด้วย องค์กรส่วนใหญ่ย่อมคาดหวังที่จะนำเสนอข้อมูลเพื่อดึงดูดลูกค้าผ่านทางเว็บไซต์ และทำให้ลูกค้าสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วผ่านผ่านทางฟังชั่นสนทนาออนไลน์ และยังสามารถสั่งซื้อสินค้าได้อย่างปลอดภัยผ่านทางการบริการออนไลน์ของเว็บไซต์ จึงเห็นได้ว่าเทคโนโลยีได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนสมัยนี้ ซึ่งคนทั่วไปสามารถเข้าถึงอีเมล์ส่วนตัวเพื่อให้สามารถติดต่อกับเพื่อนๆแม้ในช่วงเวลาทำงาน
สิ่งต่างๆที่กล่าวมามีผลกระทบต่อองค์กรอย่างไร ? องค์กรจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบความปลอดภัยขององค์กรและบางองค์กรไม่ได้เตรียมการล่วงหน้าสำหรับการปกป้องข้อมูลขององค์กรที่เป็นความลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรทราบดีว่าพวกเขาต้องมีระบบป้องกันข้อมูลรั่วไหลภายในองค์กร เช่น การมีไฟร์วอลล์, ติดตั้งแพทตัวล่าสุดของโปรแกรม Anti Virus อย่างไรก็ตามหลายองค์กรไม่สามารถใช้นโยบายควบคุมการใช้คอมพิวเตอร์ เช่น การนำอุปกรณ์ USB มาใช้ในองค์กร ซึ่งพนักงานอาจจะก๊อบปี้ข้อมูลของบริษัทออกไปได้ ถึงแม้องค์กรจะมีนโยบายการปิดอีเมล์และป้องกันการเข้าถึงข้อมูลองค์กรเมื่อพนักงานคนนั้นลาออก แต่ก็ไม่สามารถป้องกันข้อมูลบริษัทรั่วไหลไปได้
ทุกองค์กรในทุกอุตสาหกรรมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต่างก็มีนโยบายในการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นความลับขององค์กรและข้อมูลของลูกค้า เพื่อที่จะปกป้องการขโมยข้อมูลออกจากองค์กร แต่การรั่วไหลของข้อมูลยังคงเป็นหนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่องค์กรต้องเผชิญในโลกเทคโนโลยีทุกวันนี้ ถ้าภาคธุรกิจในประเทศไทยปรารถนาที่จะแข่งขันในระดับโลก องค์กรเหล่านี้ควรจะต้องมีความสามารถในการรับมือหรือจัดการกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ได้ การรักษาข้อมูล ตอนนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับองค์กรที่ไม่มีการวางแผนการจัดการกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ ซึ่งอาจทำให้พลาดการทำสัญญาทางการค้ากับบริษัทขนาดใหญ่ได้ ดังที่มีผู้กล่าวไว้ว่า “การคาดการณ์ในอนาคตจะผิดพลาด เมื่อมันได้มาถึงตัวอย่างไม่คาดคิด”
- ตัวอย่างของอาชญากรรมไซเบอร์ ได้แก่ การฉ้อโกงผ่านทางคอมพิวเตอร์ การฝ่าฝืนนโยบายความปลอดภัยข้อมูลคอมพิวเตอร์ขององค์กร การจารกรรมข้อมูล การเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และการดาวน์โหลดข้อมูลที่ผิดกฎหมาย
- เมื่อมีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้นกับองค์กร จึงมีความจำเป็นต้องมีการประเมินความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับองค์กร ไม่ว่าจะเป็นในด้าน จริยธรรม, การเงิน และกฎหมาย เมื่อมีการสืบสวนภายในองค์กรและพบว่าอาจทำให้ เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง อาจจะมีความจำเป็นต้องใช้ การสืบสวนและ ดำเนินงานจากหน่วยงานภายนอกองค์กรที่น่าเชื่อถือและสามารถรักษา ความลับขององค์กรได้
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า Digital Forensics ในประเทศไทยถือเป็นเรื่องใหม่ และผู้ที่เกี่ยวข้องยังมีประสบการณ์ไม่มากพอ จึงมีความจำเป็นที่หน่วยงานด้านกฎหมายทั้งภาครัฐและเอกชนต้องให้ความสนใจเรียนรู้และหาประสบการณ์เพิ่มเติมเพราะหลักฐานทางดิจิทัลอาจจะเป็นหลักฐานสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
ยังมีผู้คนจำนวนมากเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Digital Forensics ตัวอย่างเช่น Digital Forensics เกี่ยวข้องกับการสืบสวนคดีอาชญากรรมเท่านั้น, Digital Forensics มีราคาแพง หรือหลักฐานทางดิจิทัลมีความยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งแท้จริงแล้ว Digital Forensics เกี่ยวข้องกับหลายๆส่วนไม่ว่าจะเป็น การสืบสวนคดีอาชญากรรม, การฟ้องร้องในคดีแพ่งหรือการฟ้องร้องเรื่องส่วนตัว ถ้าเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์, การสื่อสารผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แล้วก็ล้วนแต่มีความจำเป็นต้องใช้กระบวนการ Digital Forensics ทั้งนั้น การ Forensics สามารถกู้ข้อมูลที่ถูกลบและไฟล์การใช้งานชั่วคราวที่เกิดขึ้นจากกระบวนการทำงานของคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลที่พิสูจน์ได้ผู้ใช้งานจะไม่สามารถโต้แย้งได้เนื่องจากเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง เช่น ข้อมูลการกระทำผิดของพนักงาน
Digital Forensics ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่มีราคาค่อนข้างสูงซึ่งทำให้คิดได้ว่าอาจจะไม่คุ้มค่าในการลงทุน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการสืบสวนข้อมูลบ่อยครั้งที่สามารถตรวจหาหลักฐานสำคัญที่สามารถนำไปดำเนินคดีในศาลได้ และมีหลายคดีที่สามารถนำไปเป็นหลักฐานในการต่อสู้คดีซึ่งจะช่วยป้องกันความเสียหายทางธุรกิจได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
พนักงานในองค์กรแห่งหนึ่งซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบแบ็คอัพข้อมูลของบริษัทมาเป็นระยะเวลาหลายปี ได้ตัดสินใจลาออกโดยไม่มีการแจ้งให้บริษัททราบล่วงหน้า เมื่อเขาลาอออกไปทางบริษัทพบว่าเขาได้ลบข้อมูลบางส่วนในอีเมล์ เมื่อได้ใช้การตรวจสอบทาง forensic ที่ฮาร์ดดิสก์คอมพิวเตอร์ของพนักงานและที่เมล์เซิร์ฟเวอร์ของบริษัทพบว่า ก่อนที่เขาจะออกจากบริษัทเขาได้มีการเสียบ usb ไดร์ฟที่เครื่องคอมพิวเตอร์และก็อปปี้ข้อมูลที่แบ็คอัพไว้ และเขายังได้เข้าใช้งานอีเมล์โดยทำการลบอีเมล์สำคัญ เมื่อจำนนต่อหลักฐานเขาจึงยอมรับสารภาพและไม่สามารถโต้แย้งได้
ปัจจุบันนักกฎหมายในเมืองไทยยังเกรงกลัวที่จะใช้หลักฐานทางดิจิทัลในศาลเนื่องจากคิดว่าหลักฐานทางดิจิทัลมีความยุ่งยากซับซ้อนและคิดว่าไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเนื่องจากมีหลายกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้หลักฐานทางดิจิทัล เช่น รูปภาพ, อีเมล์, เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ และประวัติการใช้งานอินเตอร์เน็ต ซึ่งหลักฐานเหล่านี้สามารถนำมาอธิบายในรูปแบบที่คนทั่วไปเข้าใจได้โดยง่าย
การจัดการกับหลักฐานทางดิจิทัลมีสองสิ่งทีสำคัญคือ ความสมบูรณ์ของพยานหลักฐานและความถูกต้องของหลักฐาน โดยเป็นไปตาม พ.ร.บ พระราชบัญญัติธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2554 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นงานด้านพิสูจน์หลักฐานทางคอมพิวเตอร์ในประเทศไทย
อาชญากรรมทางไซเบอร์ถูกระบุว่า เป็นหนึ่งในสี่อาชญากรรมที่สำคัญทางเศรษฐกิจและจะเพิ่มมากขึ้น ธุรกิจจำนวนมากไม่ได้ตระหนักว่าอาชญากรรมทางไซเบอร์จะส่งผลร้ายแรงต่อธุรกิจ ทั้งทางด้านการเงินและภาพพจน์ขององค์กรจนกระทั่งสายเกินไป เราไม่สามารถหลีกหนีความจริงที่ว่าในปัจจุบันคนส่วนใหญ่ทำธุรกรรมและติดต่อสื่อสารในรูปแบบของอิเล็กทรอนิกส์เพื่อที่เกิดประโยชน์สูงสุด องค์กรต่างๆควรมีการดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรทางไซเบอร์ และมุ่งมั่น เพิ่มประสิทธิภาพระบบรักษาความปลอดภัยด้านข้อมูลในบทความนี้จะเห็นได้ว่าการสอบสวนทางดิจิทัลเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่บริษัทควรจะนำไปเป็นนโยบายพื้นฐานในการป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์
บริการสืบสวน วิเคราะห์ ข้อมูลหลักฐานจากคอมพิวเตอร์ นำหลักฐานไปดำเนินคดี
เกี่ยวกับผู้เขียน:
Mr. Andrew Smith (Andy) – Director of Computer Forensics Services at Orion Forensics Thailand
แอนดรูว์มีประสบการณ์มากกว่า 17 ปี ในสาขานิติวิทยาศาสตร์ดิจิทัล และเคยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในสหราชอาณาจักรเป็นเวลา 9 ปี โดยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเขาใช้เวลาทำงานในแผนกอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ตำรวจซึ่งเขาได้รับการฝึกอบรมทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างมากมาย มีบทบาทของในการรวมข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และการวิเคราะห์ข้อมูล รวมไปถึงการนำเสนอหลักฐานในศาลของสหราชอาณาจักรในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญ
ขณะนี้แอนดรูว์ทำงานที่กรุงเทพฯมาเป็นเวลากว่า 7 ปีและเป็นผู้อำนวยการฝ่าย Computer Forensics Services ของ บริษัท Orion Investigations บทบาทของเขาคือดูแลการสืบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์ การพัฒนาธุรกิจ การส่งเสริมความตระหนักถึงความปลอดภัยในโลกไซเบอร์และอธิบายหลักฐานในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญในศาลไทย และเป็นวิทยากรที่อบรมให้กับหน่วยงานธุรกิจและองค์กรต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งได้พัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมทางนิติวิทยาศาสตร์สำหรับตลาดในประเทศไทย อีกทั้งยังได้พัฒนาเครื่องมือทางนิติวิทยาศาสตร์ซึ่งปัจจุบันได้ใช้ในห้องปฏิบัติการนิติเวชทั่วโลก
Email :andrew@orioninv.co.th
Read Moreการจัดการกับอาชญากรรมไซเบอร์ (Cyber Crime) – ธุรกิจของคุณจะรู้วิธีตอบสนองหรือไม่?
อาชญากรรมไซเบอร์ (Cyber Crime) -มีคนกล่าวว่า มีสองสิ่งในชีวิตเราที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือความตายและภาษี ฉันขอแนะนำว่าตอนนี้มีเพิ่มมาอีกเป็นสาม นั่นคือ การเผชิญกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้ยินวลี “อาชญากรรมไซเบอร์ หรือการก่อการร้ายทางไซเบอร์” จากสื่อต่าง ๆ และบริษัทยักษ์ใหญ่ ถูกแฮ็ก หลายคนยังไม่แน่ใจว่าอะไรก่อให้เกิดอาชญากรรมทางไซเบอร์และอาจตกเป็นเหยื่อหรือไม่
Symantec ให้คำจำกัดความของอาชญากรรมไซเบอร์ว่า อาชญากรรมใด ๆ ที่กระทำโดยใช้คอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายหรืออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อาจเป็นตัวแทนของอาชญากรรม ผู้อำนวยความสะดวกในการก่ออาชญากรรม หรือเป้าหมายของอาชญากรรม อาชญากรรมอาจเกิดขึ้นในคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียวหรือนอกเหนือจากสถานที่อื่น ๆ
คำว่าอาชญากรรมในโลกไซเบอร์ครอบคลุมกิจกรรมที่หลากหลายตั้งแต่ Spam emails (อีเมลขยะ), Phishing emails (สร้างให้ดูเหมือนว่ามาจากบริษัทที่ถูกต้องตามกฎหมาย) Identity theft (การขโมยข้อมูลประจำตัว)cyber harassment (การคุกคามทางไซเบอร์) การดาวน์โหลดเพลงโดยผิดกฎหมาย การแฮ็กเครือข่ายและการขโมยข้อมูลของบริษัท (theft of company data)
ธุรกิจจำนวนมากมองว่าอีเมลขยะ Spam emails เป็นสิ่งที่น่ารำคาญมากกว่าภัยคุกคามที่สำคัญ อย่างไรก็ตามแค่พนักงานเพียงคนเดียวคลิกอีเมลขยะ โดยลิงก์ที่คลิกก็จะนำไปสู่เว็บไซต์ที่เป็นอันตรายทันที จากนั้นเว็บไซต์จะดาวน์โหลดและติดตั้งซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตรายลงในระบบอย่างลับๆก่อนที่คุณจะรู้ตัวว่าข้อมูลทั้งหมดของ บริษัท ของคุณได้สูญหายไป
ธุรกิจมีภาระผูกพันทางกฎหมายและศีลธรรมในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า อย่างไรก็ตาม การรั่วไหลของข้อมูล (Data Leakage) ยังคงเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งที่พวกเขาต้องเผชิญในโลกแห่งเทคโนโลยีในปัจจุบัน การสำรวจจัดทำขึ้นในปี 2555 โดย National Cyber Security Alliance (NCSA) และ Symantec จากธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMB) 1,000 แห่ง ผลการวิจัยบางส่วนมีดังต่อไปนี้:
- 87% ของธุรกิจไม่มีนโยบายการรักษาความปลอดภัยอินเทอร์เน็ตที่เป็นลายลักษณ์อักษรสำหรับพนักงาน
- เกือบ 6ใน 10 (59%) ไม่มีแผนฉุกเฉินโดยสรุปขั้นตอนในการตอบสนองและรายงานการสูญเสียการละเมิดข้อมูล
- 75% ไม่มีนโยบายจำกัดการใช้โซเชียลมีเดียของพนักงาน
- 60% กล่าวว่าพวกเขาไม่มีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่พนักงานต้องปฏิบัติตามเมื่อพวกเขาจัดการกับข้อมูลของลูกค้าหรือพนักงาน
ภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่ในปี 2013 มีอะไรบ้าง?
- Bring your own device (BYOD) –การรวมตัวกันของอุปกรณ์สื่อสารและเทคโนโลยีเป็นประวัติการณ์และนำเสนอความท้าทายที่ไม่เหมือนใครสำหรับทุกธุรกิจ ปัจจุบันผู้คนใช้อุปกรณ์พกพาเหมือนกับPC คาดว่าภายในปี 2014 อินเทอร์เน็ตบนมือถือจะแซงหน้าการใช้งานอินเทอร์เน็ตบนเดสก์ท็อป อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล บริษัทจำนวนมากซึ่งสามารถซิงค์โดยอัตโนมัติไปยังที่เก็บข้อมูลออนไลน์ต่างๆ ในการนำเสนอล่าสุดฉันมั่นใจว่า คนส่วนใหญ่มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟนทั้งหมด อย่างไรก็ตามเมื่อฉันถามว่ามีแอนตี้ไวรัสกี่ตัวที่ติดตั้งบนโทรศัพท์ของพวกเขามีเพียงสองคนเท่านั้นที่ยกมือขึ้น ตามรายงานของ NQ Mobile โทรศัพท์ Android เกือบ 33 ล้านเครื่องถูกกำหนดเป้าหมายโดยซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตรายในปี 2555
- Social engineering – ผู้โจมตีจำนวนมากกำหนดเป้าหมายเว็บไซต์โซเชียลมีเดียเช่น Facebook หรือ LinkedIn เพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับ บริษัท และพนักงาน ไซต์ประเภทนี้อาจเป็นแหล่งข้อมูลมากมาย แต่หลาย บริษัท ยังไม่ตรวจสอบว่าพนักงานคลิกอะไรบนเว็บไซต์
- Phishing ยังคงเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยทางออนไลน์ ฟิชชิงคือแนวทางปฏิบัติในการส่งอีเมลโดยอ้างว่ามาจาก บริษัท ที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อชักจูงให้บุคคลเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเช่นรหัสผ่านและชื่อผู้ใช้
ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดบางประการต่อธุรกิจยังคงมาจากภายใน บริษัทพบว่าผู้ใช้ที่มีสิทธิพิเศษมักจะหนีจากการฉ้อโกงได้นานถึง 32 เดือน เมื่อธุรกิจตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมไซเบอร์อาจทำให้องค์กรตกอยู่ในสถานะที่เปราะบางทั้งทางจริยธรรมทางการเงินและทางกฎหมาย เหตุการณ์ทั้งหมดต้องได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจัง สิ่งที่เริ่มต้นในตอนแรกเนื่องจากการสอบสวนภายในสามารถขยายไปสู่การสืบสวนอาชญากรรมได้อย่างรวดเร็วซึ่งเกี่ยวข้องกับหน่วยงานภายนอกหรือการสอบสวนอาจรั่วไหลออกสู่สาธารณะหรือสื่อ
บริษัทมักจะหันไปหาเจ้าหน้าที่ไอทีเพื่อเริ่มการสอบสวนและตรวจสอบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเพื่อระบุสิ่งที่เกิดขึ้น ปัญหาคือเจ้าหน้าที่ไอทีมักไม่ได้รับการฝึกอบรมในการจัดการข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกต้องซึ่งอาจต้องอาศัยข้อมูลในศาลในภายหลัง การจัดการข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์อย่างไม่ถูกต้องอาจทำให้ความสมบูรณ์ของข้อมูลถูกตั้งคำถามที่ศาลหรือศาลปฎิเสธไม่รับฟังนั้น”
นี่คือจุดที่นิติวิทยาศาสตร์ดิจิทัลสามารถช่วยได้ Digital forensics คือการตรวจสอบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลดิจิทัลทุกชนิด เพื่อหาหลักฐานโดยใช้วิธีการที่ได้รับยอมรับและเป็นมารตรฐานสากล ซึ่งจะทำให้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับข้อมูลหรือมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นอุปกรณ์ต่างๆที่สามารถตรวจสอบได้ ได้แก่ คอมพิวเตอร์ แล็ปท็อป ไอแพด โทรศัพท์มือถือ โดยทั่วไปแล้วอะไรก็ตามที่เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์”
เมื่อมีการสอบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์มี 5 ขั้นตอนที่ผู้ตรวจสอบจะต้องดำเนินการ
1.การเก็บรักษา (Preservation)- ข้อมูลจะถูกเก็บรักษาไว้ในลักษณะที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับข้อมูลและด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ถึงความสมบูรณ์( integrity) ของข้อมูล
2.การระบุ (Identification) – ปริมาณข้อมูลที่อาจต้องตรวจสอบเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ด้วยการดำเนินการค้นหาคำหลักปริมาณข้อมูลจะลดลงอย่างรวดเร็ว
3.การดึงข้อมูล (Extraction) – จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดึงข้อมูลออกมาในลักษณะที่สามารถแสดงให้ศาลเห็นว่าความสมบูรณ์และความถูกต้องของข้อมูลได้รับการรักษา
4.การตีความ (Interpretation) – นี่เป็นหนึ่งในขั้นตอนที่ยากที่สุดของการพิสูจน์หลักฐาน ในขั้นตอนนี้จะเกี่ยวข้องกับทักษะและประสบการณ์ของผู้ตรวจสอบเพื่อให้สามารถตีความข้อมูลที่พบและลำดับเหตุการณ์ที่อยู่รอบ ๆ ข้อมูลนั้นได้อย่างถูกต้อง
5.การจัดทำรายงาน (Reporting) – สิ่งสำคัญคือต้องนำเสนอผลการสอบสวนตามความเป็นจริง ในรูปแบบไม่เน้นเทคนิคจนเกินไป ลูกค้า คนทั่วไป ฝ่ายกฎหมาย สามารถอ่านทำความเข้าใจได้
เมื่อต้องเผชิญกับการสอบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์ (Digital Forensics) ในช่วงแรกธุรกิจมักจะให้ความสำคัญกับต้นทุนค่าใช้จ่าย ซึ่งถูกต้องแล้ว ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของการสอบสวนและจำนวนคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องอาจมีราคาแพง อย่างไรก็ตามควรพิจารณาสิ่งต่อไปนี้:
- หลักฐานที่สามารถหาได้โดยการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์เท่านั้น มักจะพิสูจน์ได้ว่ามีความสำคัญต่อผลการสอบสวนที่นำมาซึ่งความสำเร็จ ของเคสนั้นๆ
- การสอบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์มักจะช่วยลดความจำเป็นในการดำเนินการทางกฎหมายได้อย่างเต็มที่
- การตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์สามารถประหยัดเวลาส่งผลให้ประหยัดเงิน
คุณต้องพิจารณาว่าธุรกิจของคุณต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าใด หากถูกขายข้อมูลที่เป็นความลับให้กับคู่แข่งหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับชื่อเสียงของคุณหากรายละเอียดของลูกค้าของคุณถูกขโมย หรือรั่วไหล
บ่อยครั้งที่ฉันได้อธิบายหรือพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับสิ่งที่ Digital Forensics สามารถกู้คืนจากคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือพวกเขามักจะประหลาดใจ ประเภทของข้อมูลที่สามารถกู้คืนได้รวมถึง แต่ไม่จำกัดเพียง:
- ข้อมูลที่ถูกลบ
- เอกสาร
- อีเมล (file แนบในเมล เช่น Words, Excel, Power Point)
- รูปภาพ
- ประวัติอินเทอร์เน็ต
- การสนทนา หรือแชทผ่าน Social Network เช่น Facebook ,line หรือ Skype
- รายละเอียดของไฟล์ที่อยู่ใน USB
- ไฟล์ที่ก๊อบลง USB
สำหรับโทรศัพท์มือถือ (Mobile Forensics) อาทิ ข้อมูลเช่น บันทึกการโทรที่ถูกลบ deleted call logs ข้อความ SMSที่ถูกลบ และ แม้แต่ข้อมูลตำแหน่งเช่นการแก้ไข GPS
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการพึ่งพาเทคโนโลยีของธุรกิจจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายคนนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้อย่างรวดเร็วเพื่อส่งมอบบริการได้อย่างรวดเร็วและคุ้มค่าแก่ลูกค้า การใช้อุปกรณ์พกพาที่เพิ่มขึ้นทำให้พนักงานไม่ต้องอยู่กับโต๊ะทำงานอีกต่อไป อย่างไรก็ตามการใช้อุปกรณ์ดังกล่าวนำมาซึ่งความท้าทายมากมาย
แม้ว่าธุรกิจต่างๆจะนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้ อย่างเพียงพอในการรักษาความปลอดภัยอุปกรณ์เหล่านี้ หรือไม่เข้าใจถึงโอกาสที่จะเกิดภัยคุกคาม พวกเขาไม่จำเป็นต้องดูเพียงวิธีป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์เกิดขึ้น แต่ต้องมีขั้นตอนที่ชัดเจนในการจัดการกับเหตุการณ์เมื่อเกิดสิ่งผิดปกติ นิติวิทยาศาสตร์ดิจิทัลเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการต่อสู้กับอาชญากรรมทางไซเบอร์และหากใช้อย่างถูกต้องและในช่วงต้นของการตรวจสอบอาจป้องกันไม่ให้ข้อมูลสำคัญสูญหายหรือถูกทำลาย
เขียนบทความโดย Andrew Smith- ผู้อำนวยการพิสูจน์หลักฐานดิจิทัล ประจำ Orion Forensics Service (ประวัติ)
Read More